เพราะข้าวมีความผูกพันกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยมาช้านาน (นานกว่า 5,500 ปีเลยนะ) เรากินข้าวเป็นอาหารหลัก นอกจากนั้นข้าวยังใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ในพิธีกรรมต่าง ๆ ข้าวมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยจนแยกไม่ออก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ของประเทศไทย ภายในงานครั้งนี้ เราจึงได้อึ้ง ทึ่ง กับ กิจกรรมพิธีบวงสรวงแม่โพสพ ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติตามความเชื่อ โดยชาวนาทุกคนเชื่อว่าแม่โพสพมีพระคุณต่อชีวิตของชาวนา สืบต่อเนื่องจากรุ่นปู่ย่าตายายมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
ชาวนาจึงมีพิธีกรรมสืบสานมรดกประเพณีด้านข้าวในแต่ละท้องถิ่นต่อ ๆ กันมาการประกอบพิธีกรรมบวงสรวงแม่โพสพ หรือทำขวัญข้าว เป็นการกล่าวขอขมาต่อต้นข้าว โดยเชื่อกันว่าทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับข้าว ทั้งการเกิดเองตามธรรมชาติ และจากการที่มนุษย์จะกระทำอะไรก็ตามกับต้นข้าว ภายในงานเรายังได้เห็นพิธีต่างๆ ซึ่งไม่ได้เห็นกันง่ายๆ ในแต่ละพื้นที่บางทีก็หายไปแล้ว แต่สำหรับงานนี้จัดเต็มทั้งพิธีกรรมก่อนการหว่านข้าว การปักดำข้าว หรือพิธีกรรมทำขวัญรับขวัญการตั้งท้อง ก่อนการเกี่ยวข้าวและ พิธีอันเชิญแม่โพสพเข้ายุ้งฉาง ซึ่งพิธีกรรมที่กล่าวมาทั้งหมด ให้ความรู้สึกมูเตลูและดูขลังเว่อร์
ก้าวต่อไป…เมืองเกษตรอัจฉริยะ
สถานที่จัดงานในครั้งนี้ก็สำคัญ เพื่อนๆ รู้กันหรือไม่ว่า? จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นศูนย์กลางในการปลูกข้าวหอมมะลิในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ และของกลุ่มร้อยแก่นสารสินธุ์ (กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน) โดยมีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิในเขตทุ่งกุลาฯ ที่มากที่สุดใน 5 จังหวัดที่อยู่ในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ โดยมีพื้นที่มากถึง 947,628 ไร่ ผลผลิตข้าวเปลือกมากถึง 340,198 ตัน เลยทีเดียว เราสอบถามมาถึงเหตุผลที่ทำให้ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้เป็นสินค้าอัตลักษณ์จับต้องได้ พบว่าสภาพทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ทำให้ในฤดูฝนจึงเป็นพื้นที่รับน้ำที่หลากมาจากพื้นที่รอบๆ ขอบแอ่ง นำสารอาหารต่างๆ ลงมารวมกันเป็นวัตถุดิบในการสร้างสารหอมและเมล็ดข้าวที่มีลักษณะพิเศษ ความแตกต่างของสภาพอากาศในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ช่วงฤดูแล้งมีอากาศร้อน และแห้งแล้ง ช่วงฤดูฝนเมื่อเข้าสู่ฤดูปลูกข้าว มีความชื้นในอากาศสูงและอากาศร้อน ต้นข้าวมีการคายน้ำอย่างสม่ำเสมอ รากข้าวจะดูดน้ำในดินที่มีสารอาหารละลายอยู่ นำไปสร้างเมล็ดข้าวและสะสมความหอม การที่ต้นข้าวดูดสารอาหารได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้การสร้างแป้งในเมล็ดข้าวมีความสมบูรณ์จับตัวกันแน่นไม่มีท้องไข่ ช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต จากอากาศร้อนชื้นจะเปลี่ยนเป็นอากาศเย็น อุณหภูมิลดลงทันที สภาพอากาศแห้ง ทำให้แป้งข้าวที่เริ่มเต็มเมล็ดจับตัวกันแน่นค่อย ๆ คายความชื้นออก เมล็ดข้าวจึงมีความเลื่อมมันและเมล็ดขาวใส โดยกลิ่นข้าวหอมมะลิในทุ่งนาจะส่งกลิ่นหอมมากในช่วงเวลา 13.00-14.00 น. โดยเฉพาะในระยะเก็บเกี่ยว ข้าวหอมมะลิจะสร้างสารหอม ที่ชื่อ 2AP มากที่สุด และพบว่าในนาดินทรายที่ดินมีความเค็มเล็กน้อย สารหอม 2AP ยิ่งจะเพิ่มขึ้นมาก ในลักษณะทางกายภาพดังกล่าวนี้ ทำให้ข้าวหอมมะลิที่ปลูกในเขตทุ่งกุลาร้องไห้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยเฉพาะ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดร้อยเอ็ด ที่นำเสนอภายในงาน นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวนา จ.ร้อยเอ็ด ทุกคน
ก้าวไปข้างหน้า “เกษตรมูลค่าสูง”
“การทำการเกษตร และการปลูกข้าวต่อไปนี้ต้องเน้น เรื่อง การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ได้มาตรฐานสูง และก่อให้เกิดรายได้สูง” นี่เป็นความตั้งใจของคณะผู้จัดงาน ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ “ร้อยเอ็ดเมืองเกษตรอัจฉริยะ ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ วัฒนธรรมสร้างมูลค่า สังคมพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ตลอดพื้นที่ของการจัดงาน มีการจัดแสดงสินค้านิทรรศการเทคโนโลยี นวัตกรรม การฝึกอบรมหลักสูตรการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวหอมมะลิ การเสวนาวิชาการในด้านการรักษาคุณภาพ และความหอมของข้าวหอมมะลิจังหวัดร้อยเอ็ด และเกษตรกรรมยั่งยืน จากกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การจำหน่ายข้าวหอมมะลิ ตลอดจนผลิตภัณฑ์จากข้าวหอมมะลิ และสินค้าเกษตรต่าง ๆ จากผู้ประกอบการ องค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน กลุ่ม OTOPกลุ่มสหกรณ์การเกษตร Smart Farmer, Young Smart Famer และการจำหน่ายปัจจัยการผลิต นวัตกรรม ตลอดจนเทคโนโลยี การผลิตและการแปรรูปข้าวของผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตร การสาธิตการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมในการผลิตข้าวในยุคดิจิตัล ซึ่งนอกจากจะนำเสนอรูปแบบการผลิตแบบวิถีชาวทุ่งกุลาร้องไห้แบบดั้งเดิม ยังมีการนำเสนอการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการผลิต เช่น การใช้โดรนการเกษตร และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้วยเครื่องจักรของอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การแปรรูปอาหารจากข้าวหอมมะลิ เพื่อเพิ่มมูลค่าของข้าวหอมมะลิจังหวัดร้อยเอ็ด